วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2558

สัปดาห์ที่ 10 นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

กระบวนการเรียนรู้ 5 ขั้นตอน (บันได 5 ขั้น) 

การจัดกระบวนการเรียนรู้แบบวัฏจักร การสืบเสาะหาความรู้ 5 ขั้นตอน เพื่อพัฒนากระบวนการคิดระดับสูง การจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนากระบวนการคิดเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งในสังคมโลกปัจจุบัน ซึ่งเป็นยุคข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยีที่ไร้ขีดจำกัด การแข่งขันทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศต้องพึ่งวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งการดำเนินชีวิตของมนุษย์จะต้องเกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการคิด สิ่งที่ติดตัวนักเรียนไปคือวิธีการคิด กระบวนการคิด กระบวนการแสวงหาความรู้ ความสามารถในการกล้าคิด กล้าทำ กล้าแสดงออก ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้จะกลายเป็นลักษณะนิสัยของผู้เรียนที่จบการศึกษาแล้วจะ เป็น บุคคลที่คิดเป็น รักการเรียนรู้ตลอดชีวิต 

กิจกรรมแต่ละขั้นตอนมีสาระสำคัญ ดังนี้

ที่มา : https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89+%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%94+5+%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%99&biw=1366&bih=623&source=lnms&tbm=isch&sa=X&ved=0CAYQ_AUoAWoVChMIsb-dt4_qyAIVonSmCh2SbggQ&dpr=1#imgrc=_

         
1.ขั้นสร้างความสนใจ เป็นการจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่กระตุ้น ยั่วยุ ให้ผู้เรียนเกิดความสงสัย ใคร่รู้อยากรู้อยากเห็น แล้วเกิดปัญหาหรือประเด็นที่จะศึกษา ซึ่งผู้เรียนจะต้องสำรวจตรวจสอบต่อไปด้วยตัวของผู้เรียนเอง

         
2.ขั้นสำรวจและค้นหา เป็นการจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่ให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ร่วมกันเป็นกลุ่ม ในการสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยการวางแผนกำหนดการสำรวจตรวจสอบ และลงมือปฏิบัติ ในการสำรวจตรวจสอบปัญหาหรือประเด็นที่ผู้เรียนสนใจใคร่รู้ ครูมีหน้าที่ส่งเสริม กระตุ้น ให้คำปรึกษาชี้แนะ ช่วยเหลือ และอำนวยความสะดวกให้ผู้เรียนดำเนินการสำรวจตรวจสอบเป็นไปด้วยดี 

          3.ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป เป็นการจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่ให้ผู้เรียนได้สร้างองค์ความรู้ใหม่ร่วม กันทั้งชั้นเรียน โดยนำเสนอองค์ความรู้ที่ได้จากการสำรวจ ตรวจสอบ พร้อมทั้งวิเคราะห์ อธิบาย และเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายซักถามแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือโต้แย้งในองค์ความ รู้ใหม่ที่ได้สร้างสรรค์ มีการอ้างอิงหลักฐาน ทฤษฎี หลักการ กฎเกณฑ์ หรือองค์ความรู้เดิม แล้งลงข้อสรุปอย่างสมเหตุสมผล

4.ขั้นอธิบายความรู้ เป็นการจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่ให้ผู้เรียนได้เพิ่มเติมหรือเติมเต็มองค์ ความรู้ใหม่ให้กว้างขวางสมบูรณ์ กระจ่างและลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยการอธิบายยกตัวอย่าง อภิปรายซักถามแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และเชื่อมโยงความรู้เดิมสู่องค์ความรู้องค์ความรู้ใหม่อย่างเป็นระบบละเอียด สมบูรณ์ นำไปประยุกต์ใช้ในเรื่องอื่นๆ หรือในชีวิตประจำวัน หรือผู้เรียนอาจจะเกิดปัญหาสงสัยใคร่รู้ นำไปสู่การศึกษาค้นคว้า

           5.ขั้นประเมินผล เป็นการจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่ให้ผู้เรียนได้ประเมินกระบวนการสำรวจตรวจ สอบและผลการสำรวจตรวจสอบ หรือองค์ความรู้ใหม่ของตนเองและของเพื่อนร่วมชั้นเรียนโดยการวิเคราะห์ วิจารณ์ อภิปรายซักถามแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกันในเชิงเปรียบเทียบประเมิน จุดดีหรือจุดด้อย ปรับปรุง หรือทบทวนใหม่ และให้ครูได้ประเมินกระบวนการสร้างองค์ความรู้ใหม่ของผู้เรียน เน้นการประเมินตามสภาพจริงในระหว่างการจัดการเรียนรู้ เพื่อปรับปรุงพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน

 เมื่อผู้เรียนเกิดปัญหาสงสัยใคร่รู้ นำไปสู่การศึกษาค้นคว้า ทดลอง หรือสำรวจตรวจสอบต่อไปจะทำให้เกิดกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ที่ต่อเนื่องกัน ไปเรื่อย ๆ เรียกว่า วัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry cycle) 

         



PBL หรือ Problem-based Learning

 คือ การเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน หรือ การเรียนรู้ที่ใช้ลักษณะการตั้งปัญหาเป็นประเด็นนำ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะค้นคว้าหาความรู้มาเพื่อ ขบคิดแก้ไขปัญหา หรือเรียนรู้จากปัญหาอาจเป็นสถานการณ์จริง ได้ถูกนำมาใช้อย่างได้ผลในหลายระดับการศึกษา เป็นรูปแบบการเรียนอีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และรู้จักการทำงานร่วมกันเป็นทีมของผู้เรียน โดยผู้สอนมีส่วนร่วมน้อยแต่ก็ท้าทายผู้สอนมากที่สุด

          PBL ไม่ใช่วิธีการสอนต่อไปนี้ ได้แก่ สอนเนื้อหาไปบางส่วนก่อน  หลังจากจากนั้นก็ทดลองให้นักเรียนแก้ปัญหาเป็นกลุ่มย่อย  ซึ่งเป็นวิธีสอน แบบแก้ปัญหา แต่เป็นการสอนแบบแก้ปัญหา (Problem solving method)  หรือผู้สอนว่าไปตามทฤษฎี เนื้อหาที่สอนแล้วก็ยกกรณีศึกษาขึ้นมาให้นักเรียนถกกัน ก็ไม่ใช่วิธีการสอนแบบ PBL หากแต่PBL นั้นผู้สอนต้องนำปัญหาที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์วิชาของผู้เรียนโดยตรงต้อง มาก่อน  แล้วใช้ปัญหาหรือกรณีศึกษานั้นเป็นโจทย์กระตุ้นเพื่อให้ผู้เรียนไป ค้นคว้าหาความรู้ ความเข้าใจด้วยตนเอง เพื่อจะได้ค้นพบคำตอบของปัญหาดังกล่าว   โดยกระบวนการ หาความรู้ด้วยตนเองนี้ทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะในการแก้ไขปัญหา (Problem solving skill)ระหว่างการเรียนผู้สอนอาจจะแนะแนวทางการค้นหาคำตอบหากเห็นว่าจะไม่อยู่ใน ศาสตร์วิชาที่สอนนั้นได้

การสอนแบบ  PBL  นักศึกษาไทยเราไม่ค่อยคุ้นเคยกันนัก เพราะเราชินกับการสอนแบบ เล็คเชอร์ หรือการบรรยายมามากกว่า เนื่องจากเรามักจะขาดแคลนตำรับตำราอยู่มาก มีปัญหาด้านการเข้าถึงสื่อการเรียนอยู่ในวงจำกัด
PBL ไม่ใช่ของใหม่เสียทีเดียว มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของโลกหลายแห่งก็ใช้การเรียนการสอนแบบ PBL  จนเป็นที่ยืนยันกันว่า PBL เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการเรียนการสอนที่ได้ผลสูง เพราะผลที่ได้จากการสอนให้นักศึกษาเรียนรู้ด้วยวิธี PBL จะทำให้เขากลายเป็นคนที่ไม่ตกยุค หรือพัฒนาตนเองตลอดเวลา และไม่เชื่อว่าความรู้นั้นจะหยุดนิ่งอยู่เพียงแค่นั้น ซึ่งแตกต่างจากการสอนแบบเล็คเชอร์ที่ครูจะมาป้อนความรู้ให้ รวมทั้งถูกสอนให้เชื่อตามทฤษฎีในเรื่องหรือศาสตร์นั้นๆ 

 http://www.oknation.net/blog/nn1234/2013/06/07/entry-1


"Coaching คือ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคน"


Coaching เป็นการสอนงานจากผู้บังคับบัญชาถึงผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรง ด้วยวิธีการให้คำแนะนำและสอนงานแบบสองทาง ( Two Way Communication ) เพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างมีประสิทธภาพ และมีโอกาสได้พัฒนาศักยภาพของตนเองไปพร้อม ๆ กัน  

ยุคปัจจุบัน เป็นยุคแห่งการแข่งขัน ทุกหน่วยงานต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาตัวเองเพื่อความอยู่รอดขององค์กร  โดยเฉพาะผู้บริหาร  ผู้นำ ต้องมีวิสัยทัศน์ที่ก้าวไกล เป็นผู้ที่กล้านำในการเปลี่ยนแปลงองค์กร   โดยมีการสร้างองค์กรให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้ (Learning organization)    ทั้งนี้เทคนิคในการสนับสนุนให้คนในองค์กรมีการเรียนรู้มีหลายประการ  Coaching  เป็นหนึ่งในเทคนิคสำคัญนั้น  ที่จะช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของบุคลากรให้เป็นบุคลากรแห่งการเรียนรู้อันจะเป็นตัวจักรสำคัญที่จะนำองค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จ       

ความหมายของ  Coaching

Coaching หมายถึง การสอนงานลูกน้องของตนเอง การสอนงานเป็นเทคนิคหนึ่งในการพัฒนาบุคลากรหรือลูกน้องของตน ทั้งนี้จะเรียกผู้สอนงานว่า “Coach” โดยปกติผู้เป็น Coach สามารถเป็นได้ทั้งผู้บริหารระดับสูง( Top Management level ) เช่น ผู้อำนวยการ ระดับกลาง  ( Middle Management level ) เช่น ผู้จัดการฝ่าย และระดับต้น  ( Low Management level ) เช่น หัวหน้างาน ส่วนผู้ถูกสอนงานโดยปกติจะเป็นลูกน้องที่อยู่ภายในทีม หรือกลุ่มงานเดียวกันเรียกว่า Coachee  

การสอนงานจัดได้ว่าเป็นกระบวนการหนึ่ง ที่หัวหน้างานใช้เพื่อเสริมสร้าง และพัฒนาลูกน้อง ให้มีความรู้ ( Knowledge ) ทักษะ ( Skills ) และคุณลักษณะเฉพาะตัว( Personal Attributes ) ในการทำงานนั้น ๆ ให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดขึ้น ซึ่งเป็นเป้าหมายหรือผลงานที่หัวหน้างานต้องการหรือคาดหวังให้เกิดขึ้น ( Result- Oriented ) โดยจะต้องตกลงและยอมรับร่วมกัน ( Collaborative ) ระหว่างหัวหน้างานและลูกน้อง ทั้งนี้ การสอนงานนอกจากจะมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาผลการปฏิบัติงานของลูกน้อง ( Individual Performance ) ในปัจจุบันแล้ว การสอนงานยังมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาศักยภาพ ( Potential ) ของลูกน้อง เพื่อให้ลูกน้องมีพัฒนาการของความรู้ ทักษะและความสามารถเฉพาะตัว และมีศักยภาพในการทำงานที่สูงขึ้นต่อไป เพื่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอันนำมาซึ่งตำแหน่งที่สูงขึ้นต่อไปในอนาคต            
   
บทบาทหน้าที่ของผู้เป็น Coach

ผู้เป็น Coach ควรเป็นผู้รักการอ่าน รักการแสวงหาความรู้และเป็นผู้ขวนขวายหาข้อมูลความรู้ใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา รวมทั้งแสวงหาประสบการณ์ใหม่ จากการเข้ากลุ่มหรือสมาคมต่าง ๆ เพื่อจะได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาทำหน้าที่บทบาท นักฝึกอบรม นักพัฒนา / นักเปลี่ยนแปลง ผู้ให้คำปรึกษา นักจิตวิทยา นักแก้ไขปัญหา นักคาดคะเน นักคิด / นักประดิษฐ์  และนักปฏิบัติ บทบาทดังกล่าวจะแสดงออกในบทบาทใดนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่แตกต่างกันไป ซึ่งบางครั้งอาจแสดงบทบาทเดียว  หรือแสดงมากกว่าหนึ่งบทบาท เรียกว่าบทบาทผสมผสาน  ( Mixed Roles ) 

แนวทาง หลักปฏิบัติและวิธีการในการเป็น Coach   
             
การสอนงานจะเกิดขึ้นได้ ผู้สอนงานและผู้ถูกสอนงานต้องมีความพร้อมด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย โดยไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นเวลาใดที่แน่นอน เกิดขึ้นได้ทุกเมื่อทุกเวลา  ความพร้อม ได้แก่
1. เรื่องเวลา ควรกำหนดเวลาให้พอดีกับเนื้อหาที่ต้องการจะสอนและถ่ายทอดได้อย่างเป็นระบบและมีเหตุผล
2. อารมณ์  ควรมีสภาพจิตใจหรือสภาวะอารมณ์ที่ปกติ พร้อมที่จะถ่ายทอดข้อมูล
3. สุขภาพร่างกาย เพราะการมีสภาพร่างกายที่พร้อมจะส่งผลต่อไปยังจิตใจ / ความคิด
4. ข้อมูล เกี่ยวกับ
             4.1 เนื้อหา / ขอบเขตงานที่ต้องรับผิดชอบ
             4.2 ผังโครงสร้างองค์กร วิสัยทัศน์ นโยบายต่าง ๆ ขององค์กร
             4.3 คู่แข่งขันและกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
             4.4 ข้อมูลเกี่ยวกับลูกน้องตนเอง
5. สถานที่ พิจารณาถึงจำนวนของผู้สอนและผู้รับการสอนและลักษณะอุปกรณ์ที่จะนำมาสาธิต
6. อุปกรณ์เครื่องมือ ควรมีการทดสอบประสิทธิภาพในการทำงานของอุปกรณ์ / เครื่องมือว่าสามารถใช้การ /ทำงานได้ตลอดเวลาที่ทำการสาธิต               
7. เข้าใจจิตวิทยาการเรียนรู้ของลูกน้องที่เป็นผู้ใหญ่ด้วยว่า เขาจะเรียนรู้ได้ดีเมื่อไร เช่นเขาอยากเรียนรู้ได้ดีเมื่อเขาอยากเรียนหรือทำให้เขารู้ว่าถูกคาดหวังอะไร หรือเมื่อได้เอาสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปใช้ได้จริงและได้ผล8.ความพร้อมของผู้สอนงานกับผู้ถูกสอนงาน ย่อมมีส่วนผลักดัน ส่งเสริมและสนับสนุนให้การสอนงานของหัวหน้างานประสบผลสำเร็จ 

รูปแบบของการเรียนรู้และการรับรู้ของลูกน้อง

         การรับรู้ของแต่ละคนจะมีขีดจำกัดตามระยะเวลาที่กำหนด การกำหนดระยะเวลาที่พอประมาณ  เหมาะสมไม่มากหรือน้อยเกินไป ย่อมจะทำให้ลูกน้องสามารถรับรู้และเรียนรู้ ใน    สิ่งที่หัวหน้างานสอนหรือถ่ายทอดได้ดีกว่า เวลาที่เหมาะสมประมาณหนึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง น่าจะเพียงพอ หากจำเป็นต้องใช้ระยะเวลานาน ควรจัดให้มีเวลาพักสมอง( Break ) เพื่อให้ลูกน้องมีโอกาสได้หยุดทบทวนความคิดและข้อมูลที่หัวหน้างานได้สอนไปแล้วการศึกษาวิเคราะห์และเลือกวิธีการหรือเทคนิคในการสอนงานให้เหมาะสม โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อให้การทำงานบรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ถูกกำหนดขึ้น ตลอดจนการให้คำแนะนำถึงแห่ลงข้อมูลที่ควรติดตาม  และการเปิดใจและเต็มใจที่จะตอบข้อซักถามต่าง ๆ ให้แก่ลูกน้อง ไม่แสดงสีหน้ารำคาญหรือต่อว่า เมื่อลูกน้องพยายามคิดหาทางพัฒนาและปรับปรุงระบบหรือกระบวนการทำงานให้รวดเร็ว สะดวก และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และร่วมกันรับผลลัพธ์ที่ออกมา ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะออกมาดีหรือไม่ดีก็ตาม 

สัญญาณบอกเหตุของการ Coach ที่ล้มเหลว

ในฐานะหัวหน้างานจะต้องพิจารณาถึงสัญญาณบอกเหตุของการสอนงานที่ล้มเหลว โดยแบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงระหว่างการสอนงาน และช่วงหลังจากการสอนงาน ดังต่อไปนี้

1) ช่วงระหว่างการสอนงาน

1.1 ภาวะเงียบสงัด ลูกน้องนั่งเงียบ ฟังอย่างเดียว รู้เรื่องหรือไม่รู้เรื่อง ก็นั่งเงียบ  ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัยเกรง/กลัวอำนาจ ไม่เข้าใจในสิ่งที่สอน  คิดถึงแต่เรื่องอื่น ไม่เห็นความจำเป็น และการรับรู้ที่ต่างกัน

           1.2 ภาวะลองภูมิ หรือปฏิเสธ เหตุเพราะกำลังหาคำถามหรือประเด็นคำถามเพื่อลองภูมิ อยากจะรู้ว่าหัวหน้างานคนนี้จะแน่แค่ไหน พบว่า ลูกน้องพวกนี้มีหลายประเภท, อายุงานที่ทำในองค์กรมากกว่าหัวหน้างาน, รู้ระบบงาน  หรือรู้จักงานต่างๆ ในองค์กรมากกว่า , อายุมากกว่าหัวหน้างาน, เรียนหรือจบการศึกษาสูงกว่าหัวหน้า,ไม่เชื่อในฝีมือหรือความสามารถของหัวหน้างาน, มีสถานะเป็นเพื่อนร่วมงานกับหัวหน้างานมาก่อน 

 http://www.oknation.net/blog/nn1234/2013/06/07/entry-1

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น